top of page

เค้กสไตล์ฝรั่งเศส

ความรู้เรื่องเค้ก
cake.jpg

เค้ก (Cake) มีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวไวกิ้ง (Old Norse Word) ว่า Kala เป็นอาหารประเภทขนมอบซึ่งมีส่วนผสมคือแป้งสาลี ผงฟู เกลือ ไขมัน น้ำตาล ไข่ นม และกลิ่นรส เป็นส่วนผสมในเนื้อเค้กให้มีความสมดุลแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของเค้กนั้นๆ

เค้กเป็นอาหารที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี ตัวอย่างหลักฐานอย่างหนึ่งที่พบคือซากของหมู่บ้านในสมัยหินใหม่ ซึ่งนักโบราณคดีได้ค้นพบเค้กอย่างง่ายที่ทำจากเมล็ดธัญพืชบดแล้วนำมาปรุงสุกบนหินที่มีความร้อน

นอกจากนี้ยังอีกหลักฐานหนึ่งคือเรื่องราวของ อัลเฟรด เบิร์ด นักเคมีชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้ค้นพบ "ผงฟู" เมื่อปี ค.ศ.1843 ทำให้เขาสามารถทำขนมปังที่ไม่มียีสต์ให้กับภรรยาของเขาได้รับประทานเป็นครั้งแรก เนื่่องจากภรรยาของเขานั้นแพ้ยีสต์ ทำให้วันนี้เค้กได้กลายเป็นขนมซึ่งเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก โดยนิยมรับประทานเป็นของหวานและนำมาฉลองในโอกาสพิเศษรวมถึงเทศกาลต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานวันเกิด งานเลี้ยงน้ำชา เทศกาลปีใหม่ เทศกาลคริสต์มาส เป็นต้น

เค้กฝรั่งเศส

เค้กฝรั่งเศสเป็นเค้กเนื้อเบาเพราะชั้นของเค้กถูกแทรกด้วยมูสเป็นส่วนใหญ่ สัดส่วนระหว่างแป้งเค้กและวัตถุดิบที่นำมาเป็นองค์ประกอบจึงอยู่ในปริมาณที่ใกล้เคียงกัน ต่างจากเค้กชนิดอื่นๆที่ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเค้กแบบหนัก เนื่องจากส่วนผสมของเนื้อเค้กมีแป้ง น้ำตาล และครีมเป็นหลัก ทำให้ได้เค้กที่มีรสชาติเดียวกันทั้งก้อน แต่เค้กฝรั่งเศสมีความโดดเด่นตรงรูปลักษณ์ที่สวยงาม สีสันสดใสที่ได้มาจากผลไม้ต่างๆ เค้กฝรั่งเศสจึงดึงดูดความสนใจและดูน่ารับประทานมากกว่าเค้กชนิดอื่นๆ

วัตถุดิบสำคัญ

นอกจากวัตถุดิบพื้นฐานอย่างแป้งและน้ำตาลแล้ว เค้กฝรั่งเศสมักจะใช้ช็อคโกแลตเป็นส่วนผสมหลักในเนื้อเค้ก และเพิ่มความแปลกใหม่ให้เป็นลักษณะเฉพาะของเค้กชนิดนั้นๆ ด้วยการเติมวัตถุดิบอื่นๆเข้าไป

เนื่องจากเค้กฝรั่งเศสใช้มูสที่ทำมาจากครีมหรือวิปปิ้งครีมเป็นส่วนประกอบหลักจึงทำให้เลี่ยนได้ง่าย ดังนั้นเค้กฝรั่งเศสจึงต้องใช้ผลไม้เป็นทั้งองค์ประกอบหลักและของตกแต่งหน้าเค้ก เพราะนอกจากผลไม้จะให้สีและกลิ่นที่น่ารับประทานแล้ว รสชาติของผลไม้ยังช่วยแก้เลี่ยนได้อีกด้วย

berry.jpg
1.วัตถุดิบจำพวกผลไม้
1.1 ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

เช่น สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ แบล็คเคอแรนท์ เรดเคอเรนท์ ฯลฯ
ผลไม้ตระกูลเบอรี่ส่วนใหญ่เป็นผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานและมีขนาดเล็ก จึงใช้ประโยชน์ได้ทั้งในแง่การเป็นส่วนผสมและนำมาแต่งหน้าเค้กด้วยสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์รี่แต่ละชนิด ทำให้เกิดความหลากหลายทั้งสีสันและรสชาติ

1.2 ส้ม

รสหวานอมเปรี้ยวบวกกับกลิ่นหอมสดชื่นที่ทำให้รู้สึกตื่นตัวกระฉับกระเฉง ทำให้ส้มเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในขนมจำพวกเค้กและเบเกอรี่เป็นอันดับต้นๆ

1.3 ลูกแพร์

เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับลูกพลัม เป็นผลไม้ลักษณะคล้ายชมพู่ รสชาติอร่อย หวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม

1.4 เลมอน

เป็นพืชตระกูลส้ม มีสีเหลืองรูปทรงรี ลักษณะคล้ายมะนาวแต่เปลือกหนากว่า ให้รสเปรี้ยวที่นุ่มนวลไม่เปรี้ยวแหลมเหมือนมะนาว

1.5 แอพริคอต

เป็นผลไม้รูปยาวรีคล้ายลูกท้อของจีน สีเหลืองส้ม มีรสหวาน

1.6 แอปเปิล

เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มีรสสัมผัสที่กรอบอร่อยและรสชาติรสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ นอกจากแอปเปิลสดแล้ว ขนมบางชนิดบางสูตรยังใช้ร่วมกับแอปเปิลอบแห้งเพื่อเพิ่มรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดีด้วย

1.7 มะม่วง

เป็นผลไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศเขตร้อน แต่รสชาติที่หวานหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงสุกทำให้มันเป็นผลไม้ที่นิยมนำมาเป็นส่วนผสมในขนมสไตล์ตะวันตกอย่างเค้กและเบเกอรี่ด้วย

1.8 มะพร้าว

มักใช้มะพร้าวอ่อนซึ่งให้กลิ่นหอมและเนื้อมะพร้าวที่อ่อนนุ่ม เพื่อเพิ่มรสสัมผัสที่นุ่มนวลและรสชาติหอมกรุ่นให้กับเค้ก แต่หากต้องการใช้เนื้อมะพร้าวโรยหน้าเค้กก็มักจะใช้เป็นมะพร้าวอบแห้ง

Tips

1. นอกจากผลไม้สดนานาชนิดแล้ว ผลไม้อบแห้ง ผลไม้แช่อิ่ม น้ำผลไม้ แยมผลไม้ ก็นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเค้กเช่นกัน

2. เมื่อมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว สามารถดัดแปลงนำผลไม้ไทยที่มีกลิ่นหอมและรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์มาเป็นส่วนผสมได้

2. วัตถุดิบอื่น ๆ
2.1 เมล็ดพืชและถั่วต่าง ๆ

เป็นวัตถุดิบยอดนิยมที่มักจะนำมาผสมในเค้ก เพราะช่วยเพิ่มรสชาติ ความหอมมัน และกลิ่นที่น่ารับประทานให้กับเค้กได้อย่างดี เมล็ดพื่ชและถั่วที่นิยมใช้ทำเค้กได้แก่ถั่วพิสตาชิโอ อัลมอนด์ วอลนัท แมคคาเดเมีย ถั่วลิสง ฮาเซลนัท เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ

2.2 สมุนไพรและพืชอื่น ๆ

เช่นพืชตระกูลมินท์ ชาเขียว กาแฟ กานพลู ฯลฯ เพราะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของพืชชนิดนั้นๆได้

หลักการเลือกใช้วัตถุดิบ

การพิจารณาวัตถุดิบเพื่อนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของเค้กไม่ว่าจะใช้เป็นส่วนผสมหรือเพื่อการประดับตกแต่ง ก็มีวิธีการเลือกโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการใช้ดังนี้

1. ประโยชน์ด้านรสชาติ

วัตถุดิบที่ใช้เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับเค้กมักเป็นวัตถุดิบที่มีความอร่อยเฉพาะตัว อาจเป็นความอร่อยที่มาจากรสชาติอันหวานหอมหรือหวานอมเปรี้ยว เช่น มะม่วงสุก สตรอเบอรี่ ส้ม หรืออาจเป็นความอร่อยจากเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ เช่น อัลมอนด์ รวมถึงถั่วชนิดต่างๆ

2. ประโยชน์ด้านกลิ่น

ตามปกติแล้ว กลิ่นหอมของขนมที่อบเสร็จใหม่ๆจะช่วยเรียกความสนใจของผู้คนอยู่แล้ว แต่หากเพิ่มกลิ่นหอมหวานของผลไม้และวัตถุดิบอื่นๆซี่งมีความหอมโดดเด่นเข้าไปร่วมด้วยก็จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและเรียกน้ำย่อยได้ดียิ่งขึ้น วัตถุดิบที่่นำมาใช้ประโยชน์ด้านกลิ่นจึงต้องมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นกลิ่นหอมแบบนุ่มนวลของมะพร้าว ชาเขียว หรือกลิ่นหอมสดชื่นของเลมอน มินท์

2. ประโยชน์ด้านกลิ่น

เป็นการนำเอาสีสันและความสวยงามของผลไม้ชนิดต่างๆมาใช้ประโยชน์เพื่อทำให้เค้กน่ารับประทานยิ่งขึ้น เช่นการบดผลไม้ชนิดต่างๆผสมผสานเข้ากับวัตถุดิบเพื่อให้เนื้อเค้กมีสีสันที่สวยงาม หรือการตกแต่งโดยใช้ผลไม้ลูกเล็กๆหรือหั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆมาวางประดับตกแต่งบนหน้าเค้ก

Tips

1. การตวงไข่ขาวให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้องจะทำให้ตีขึ้นฟูได้ง่าย อีกทั้งการแยกไข่ขาวและไข่แดงต้องระวังอย่าให้มีเศษไข่แดงผสมอยู่ด้วย เพราะจะทำให้การตีไข่ขาวไม่ขึ้นฟู

2. การตีวิปปิ้งครีม หากตีครีมแข็งเกินไปจะทำให้ส่วนผสมไม่เข้ากัน ส่งผลให้มูสมีผิวขรุขระ และกรณีที่ต้องนำวิปปิ้งครีมมาตะล่อมกับส่วนผสมอื่นๆ (เช่นช็อคโกแลต) จะต้องควบคุมอุณหภูมิของส่วนผสมนั้นๆไม่ให้มีอุณหภูมิที่อุ่นเกินไป  ไม่เช่นนั้นเมื่อนำส่วนผสมมารวมกับครีมจะทำให้ส่วนผสมนั้นจับตัวเป็นลิ่ม และได้มูสที่มีเนื้อสัมผัสไม่เรียบเนียน

3. เค้กฝรั่งเศสควรเสิร์ฟในอุณหภูมิที่เย็น เพื่อให้เค้กได้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้น อีกทั้งความเย็นจะทำให้มูสเซ็ตตัวแข็งขึ้นทำให้ตักได้ง่ายและไม่ทำให้มูสเละขณะตักรับประทาน

4. เนื่องจากเมนูเค้กเหล่านี้จัดว่าเป็น "มูสเค้ก" เพราะมีมูสเป็นส่วนประกอบทุกเมนู ดังนั้นเค้กเหล่านี้จึงต้องเก็บในตู้เย็นเสมอเพื่อรักษาความสดใหม่ของเค้ก (แต่ไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง) และไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 1 สัปดาห์ และถ้าใช้ผลไม้สดเป็นส่วนผสมยิ่งไม่ควรเก็บไว้นานหลายวัน เพราะผลไม้จะเน่าเสียจนทำให้กลิ่นและรสของเค้กเปลี่ยนไป

bottom of page